วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2551

ตำนานนางสงกรานต์

--- ตำนานนางสงกรานต์ ---
ตามจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง รวยทรัพย์แต่อาภัพบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปี ก็ไร้วี่แววที่จะมีบุตร อยู่มาวันหนึ่งพอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐี จึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานให้เทพบุตรองค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า ธรรมบาลกุมาร และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย
ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ซึ่งภาษานก และเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับท้าวกบิลพรหมเป็นเวลา 7 วัน
ทางธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่า ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่า เราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่า คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้า ศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยง ศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็น ศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำไว้
ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมารจึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับ แล้วก็ตัดเศียรให้นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต จากนั้นนางทุงษะก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ
จากนั้นมาทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม ในแต่ละปีนางสงกรานต์แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ ดังนี้
ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ
ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ)
ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู)
ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา)
ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง)
ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย)
ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง)

วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2551

ปัญหายาเสพติด-ปัญหาสังคมตลอดกาล

สิ่งเสพติด
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สิ่งเสพติด หรือที่เรียกกันว่า "ยาเสพติด" ในความหมายของ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization or WHO) จะหมายถึงสิ่งที่เสพเข้าไปแล้วจะเกิดความต้องการทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อไปโดยไม่สามารถหยุดเสพได้ และจะต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่อร่างกายและจิตใจขึ้น
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2522 ที่ใช้ในปัจจุบันได้กำหนดความหมายสิ่งเสพติดให้โทษดังนี้ สิ่งเสพติดให้โทษ หมายถึง สารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือด้วยประการใดๆ แล้วทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะสำคัญ เช่น ต้องเพิ่มปริมาณการเสพขึ้นเรื่อยๆ มีอาการขาดยาเมื่อไม่ได้เสพ มีความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุ่นแรงอยู่ตลอดเวลา และทำให้สุขภาพทรุดโทรม
ปัจจุบันนี้สิ่งเสพติดนับว่าเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ เพราะสิ่งเสพติดเป็นบ่อเกิดของปัญหาอื่นๆ หลายด้าน นับตั้งแต่ ตัวผู้เสพเองซึ่งจะเกิดความทุกข์ลำบากทั้งกายและใจ และเมื่อหาเงินซื้อยาไม่ได้ก็อาจจะก่อให้เกิดอาชญากรรมต่างๆ สร้างความเดือดร้อนให้พ่อแม่พี่น้อง และสังคม ต้องสูญเสียเงินทอง เสียเวลาทำมาหากิน ประเทศชาติต้องสูญเสียแรงงานและสูญเสียเงินงบประมาณในการปราบปรามและรักษาผู้ติดสิ่งเสพติด และเหตุผลที่ทำให้สิ่งเสพติดเป็นปัญหาสำคัญของประเทศอีกข้อหนึ่งคือ ปัจจุบันมีผู้ติดสิ่งเสพติดเพิ่มมากขึ้นทั้งนี้ยังไม่รวมถึงจำนวนผู้ติดบุหรี่ สุรา ยากระตุ้น หรือกดระบบประสาทที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มต่างๆ

--ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดและการป้องกัน--
ยาเสพติด หมายถึง สารเคมี หรือสารใดก็ตาม ซึ่งเมื่อบุคคลเสพ หรือรับเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าโดยการฉีด การสูบ การกิน การดม หรือวิธีอื่น ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วจะก่อให้เกิดเรื้อรัง ซึ่งจะทำให้เกิดความเสื่อมโทรมขึ้นแก่บุคคลผู้เสพ และแก่สังคมด้วย ทั้งจะต้องทำให้ผู้เสพแสดงออกซึ่งลักษณะ ดังนี้
1.ผู้เสพมีความต้องการอย่างแรงกล้า ที่จะเสพยาชนิดนั้น ๆ ต่อเนื่องกันไป และต้องแสวงหายาชนิดนั้น ๆ มาเสพให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม
2.ผู้เสพจะต้องเพิ่มปริมาณของยาที่เคยใช้ให้มากขึ้นทุกระยะ
3.ผู้เสพจะมีความปรารถนาอยากเสพยาชนิดนั้น ๆ อย่างรุนแรง ระงับไม่ได้ คือ มีการติดและอยากยาทั้งทาง ด้านร่างกายและจิตใจ

--ประเภทของยาเสพติด--
จำแนกตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท แบ่งเป็น 4 ประเภท
1.ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยานอนหลับ ยาระงับประสาท ยากล่อมประสาท เครื่องดื่มมึนเมา ทุกชนิด รวมทั้ง สารระเหย เช่น ทินเนอร์ แล็กเกอร์ น้ำมันเบนซิน กาว เป็นต้น มักพบว่าผู้เสพติดมี ร่างกายซูบซีด ผอมเหลือง อ่อนเพลีย ฟุ้งซ่าน อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
2.ประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ยาบ้า ยาอี กระท่อม โคเคน มักพบว่าผู้เสพติดจะมีอาการ หงุดหงิด กระวนกระวาย จิตสับสน หวาดระแวง บางครั้งมีอาการคลุ้มคลั่ง หรือทำในสิ่งที่คนปกติ ไม่กล้าทำ เช่น ทำร้ายตนเอง หรือฆ่าผู้อื่น เป็นต้น
3.ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี และเห็ดขี้ควาย เป็นต้น ผู้เสพติดจะมีอาการประสาทหลอน ฝันเฟื่อง หูแว่ว ได้ยินเสียงประหลาดหรือเห็นภาพหลอนที่น่าเกลียดน่ากลัว ควบคุมตนเองไม่ได้ ในที่สุดมักป่วยเป็นโรคจิต
4.ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน คือทั้งกระตุ้นกดและหลอนประสาทร่วมกัน ผู้เสพติดมักมี อาการหวาดระแวง ความคิดสับสน เห็นภาพลวงตา หูแว่ว ควบคุมตนเองไม่ได้และป่วยเป็นโรคจิตได้

-- สาเหตุของการติดยาเสพติด--
การติดยาเสพติดอาจเกิดขึ้นได้เนื่องจาก........
1.ความอยากรู้อยากลอง ด้วยความคึกคะนอง
2.เพื่อนชวน หรือต้องการให้เป็นที่ยอมรับจากกลุ่มเพื่อน
3.มีความเชื่อในทางที่ผิด เช่น เชื่อว่ายาเสพติดบางชนิด อาจช่วยให้สบายใจ ลืมความทุกข์ หรือช่วยให้ทำงานได้มากๆ
4.ขาดความระมัดระวังในการใช้ยา เพราะคุณสมบัติของยา บางชนิดอาจทำให้ผู้ใช้ยาเกิดการเสพติดได้โดยไม่รู้ตัว หากใช้ยาอย่างพร่ำเพื่อ หรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยขาดการแนะนำจากแพทย์ หรือเภสัชกร
5.สภาพแวดล้อม ถิ่นที่อยู่อาศัย มีการค้ายาเสพติด หรือมี ผู้ติดยาเสพติด
6.ถูกหลอกให้ใช้ยาเสพติดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
7.เพื่อหนีปัญหา เมื่อมีปัญหาแล้วไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับตัวเองได้

--การป้องกันยาเสพติด--
1.ป้องกันตนเอง ไม่ทดลองยาเสพติดทุกชนิด ถ้ามีปัญหาหรือไม่สบายใจ อย่าเก็บไว้คนเดียว ควรปรึกษาพ่อแม่ ครู ผู้ใหญ่ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬาหรือทำงานอดิเรกต่างๆตามความสนใจ และความถนัดระมัดระวัง การใช้ยาและศึกษาให้เข้าใจถึงโทษภัยของยาเสพติด
2.ป้องกันครอบครัว ควรสอดส่องดูแลเด็ก และบุคคลในครอบครัวอย่าให้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อบรมสั่งสอน ให้รู้ถึงโทษภัยของยาเสพติดดูแลเรื่องการคบเพื่อนคอยส่งเสริมให้เขารู้จักการใช้เวลาในทางที่เป็น ประโยชน์ เช่น การทำงานบ้าน เล่นกีฬา ฯลฯ เพื่อป้องกันมิให้เด็กหันเหไปสนใจในยาเสพติด สิ่งสำคัญก็คือทุกคนในครอบครัวควรสร้างความรัก ความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
3.ป้องกันชุมชน หากพบผู้ติดยาเสพติดควรช่วยเหลือแนะนำให้เข้ารับการบำบัดรักษาโดยเร็ว การสมัครเข้า ขอรับการบำบัดรักษายาเสพติดก่อนที่ความผิดจะปรากฏต่อเจ้าหน้าที่กฎหมายยกเว้นโทษให้ และ เมื่อรู้ว่าใครผิด นำเข้าส่งออก หรือจำหน่ายยาเสพติด ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ ตำรวจ เจ้าหน้าที่ศุลกากรนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ หรือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(สำนักงาน ป.ป.ส.)

----ทางที่ดี อย่าอยากรู้และอย่าลอง ดีกว่าครับเรื่องยาเสพติด----

By Spiningdeff♪

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2551

ว่าด้วยเรื่องของภาษาวิบัติ

คำนิยาม
ภาษาวิบัติ คือ ภาษาที่ถูกแปลงมาจากคำในภาษาเดิม ให้สามารถเขียนได้ในรูปลักษณ์ใหม่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ภาษาวิบัตินี้มักจะผิดหลักในการเขียนอยู่เสมอ
ถ้าจะให้แยกแยะได้ง่ายๆ คำที่ไม่อยู่ในพจนานุกรม และไม่เป็นไปตามกฏของหลักภาษาไทยโดยส่วนใหญ่จะเป็นภาษาวิบัติ
-ประวัติศาสตร์-
---ที่มา---
ผู้ที่เริ่มใช้ภาษาวิบัติเป็นคนแรกนั้น ไม่มีหลักถานปรากฎแน่ชัด
และต่อมา ผู้ที่ทำให้ภาษาวิบัติแพร่หลายมากขึ้นอีกครั้ง คือเด็กโง่คนหนึ่ง ในโฆษณาของบริษัททุย เนื่องจากในโฆษณาดังกล่าว เด็กคนนั้นสะกดคำว่า "ปาฏิหาริย์" ไม่เป็น จึงต้องเขียนว่า "ปาติหาน" และแล้วอีกไม่นานต่อมา คำว่า "ปาติหาน" นี้ก็เป็นที่ยอมรับกันในเหล่าขาแชททั่วไป
การใช้ภาษาวิบัตินั้น ส่วนใหญ่จะใช้ในการแชทกัน (เช่น ออนเอ็ม ของ hotmail เป็นต้น) เนื่องจากต้องการพิมพ์ให้เร็วๆ นั่นเอง แต่ในบางครั้งอาจใช้เพื่อความคิกขุ หรือเพื่อการสื่ออารมณ์ก็ได้

---รูปแบบของภาษาวิบัติ---
ภาษาวิบัติแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มที่ใช้เวลาพูด กับกลุ่มที่ใช้ในเวลาเขียน
-กลุ่มที่ใช้เวลาพูด-
เป็นประเภทของภาษาวิบัติที่ใช้ในเวลาพูดกัน ซึ่งบางครั้งก็ปรากฏขึ้นในการเขียนด้วย แต่น้อยกว่าประเภทกลุ่มที่ใช้ในเวลาเขียน โดยมักพูดให้มีเสียงสั้นลง หรือยาวขึ้น หรือไม่ออกเสียงควบกล้ำเลย ประเภทนี้เรียกได้อีกอย่างว่ากลุ่มเพี้ยนเสียง เช่น
ตะเอง (ตัวเอง) เตง (ตัวเอง) ขอบคุง (ขอบคุณ) แม่ม (แม่มึง)
แสด (สัตว์) พ่อง (พ่อเมิง) สลัด(สัตว์)

--กลุ่มที่ใช้ในเวลาเขียน--
รูปแบบของภาษาวิบัติชนิดนี้ โดยทั้งหมดจะเป็นคำพ้องเสียงที่หลายๆคำมักจะผิดหลักของภาษาอยู่เสมอ โดยส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะใช้ในเวลาเขียนเท่านั้น โดยยังแบ่งได้เป็นอีกสามประเภทย่อย

จะวิบัติหาอะไรมิทราบ???
--กลุ่มพ้องเสียง--
รูปแบบของภาษาวิบัติชนิดนี้ จะเป็นคำพ้องเสียง โดยส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะใช้ในเวลาเขียนเท่านั้น และคำที่นำมาใช้แทนกันนี้มักจะเป็นคำที่ไม่มีในพจนานุกรม
เทอ(เธอ) จัย(ใจ) งัย(ไง)
นู๋(หนู) มู๋(หมู) ปันยา(ปัญญา)
--กลุ่มขี้เกียจพิมพ์ --
พวกนี้จะคล้ายๆกับกลุ่มคำพ้องเสียง เพียงแต่ว่าบางครั้งการกด Shift มันน่ารำคาญ พวกนี้เลยขี้เกียจกด แล้วเปลี่ยนคำที่ต้องการเป็นอีกคำที่ออกเสียงคล้ายๆกันแทน
กุ(กู) เหน(เห็น) เปน(เป็น)
ซึ่งสองตัวอย่างหลังนี่ ถ้าเคยเปิดอ่านหนังสือเก่าๆ ดู จะพบว่าไปซ้ำกับอักขรวิธีในสมัยก่อน (ประมาณปี พ.ศ. 2480)
.........ถ้าไปถามหลายๆคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลายคนอาจจะให้เหตุผลที่ต่างๆกันไป ..........
๑.เพราะว่าคำพวกนี้พิมพ์ได้ง่าย เข้าใจนะว่า คำภาษาไทยหลายๆคำอาจจะพิมพ์ยุ่งยากมากเรื่อง ดังเช่น คำว่า เดี๋ยว ก็เปลี่ยนเป็น เด๋ว และคำว่า ก็ ก็เปลี่ยนเป็น ก้อ เหตุผลเหรอ มันพิมพ์ง่ายไงล่ะ แต่คุณอาจจะไม่รู้หรอกนะว่า คุณกำลังทำลายภาษาไทย โดยไม่รู้ตัว
๒.ส่วนใหญ่บอกว่ามันแนวดี แต่สงสัยจริงๆว่ามันแนวตรงไหน แบบนี้มัน "บ้า" แล้ว!!ภาษาเค้ามีมาดีๆมาทำเสียหมด
๓.เพื่อแสดงอารมณ์ ว่าตอนนี้กำลัง ผิดหวังหรือเบื่อหน่าย อย่างที่วัยรุ่นเค้าเรียกกันว่า"เซ็ง"น่ะแหล่ะ เพราะบางทีถ้าผิดหวังก็อาจจะลากเสียงคำว่า "ไม่" เป็น "ม่าย..ย..." ถ้าอารมณ์ดีก็อาจจะสั้นหน่อยเป็น "มั่ย"
๔."ขำๆ" ไอ้ที่ว่า"ขำๆ"น่ะหมายความว่าอะไร อารมณ์ดีกันเหลือเกิน คิดคำวิบัติมาใช้กันเกลื่อน
๕."ไม่เห็นเป็นไรเลย มันก็เหมือนๆกันแหละ" เหมือนแค่การออกเสียงน่ะสิแต่ความหมายตามหลักของมันบางครั้งไปคนละทางด้วยซ้ำ
๖."ก็มันติดนี่นา"หลายคนพูดแบบนี้ แสดงว่าคุณใช้มันบ่อยมากไงล่ะ
๗."ก็คำมันดูน่ารักนี่"อยากรู้ว่ามันน่ารักตรงไหนฟะ?
๘."ก็เวลาเล่นMSNมันพิมพ์เร็วนี่"รู้แล้วมันเร็วกว่าแต่ถ้าไม่ใช้ภาษาวิบัติมันก็ไม่เสียเวลามากมายหรอก
๙."ก็พอใจนี่/ก็จะพิมพ์ยังงี้พวกคุณมีสิทธิ์ห้ามเหรอ"ใช่แล้วผมไม่มีสิทธิ์ห้ามหรอกแต่สิ่งพวกนี้มันมาจากตัวคุณนั่นแหละคุณต้องห้ามตัวเอง
อ้างอิงจาก อัลไซโคลปพีเดีย และเวป yenta4

วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2551

อะไรคือเกรียน??

ประวัติ

ในช่วงแร็กนาร็อกออนไลน์เป็นที่นิยมในระยะแรกๆ เยาวชนที่เล่นเกมนี้ยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะจัดสรรเวลาและค่าใช้จ่ายของตน เพื่อที่จะเล่นในร้านอินเทอร์เน็ตหรือที่บ้าน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จึงเข้ามาดูแลส่วนนี้โดยตรง โดยออกข้อบังคับบางประการ เช่น ห้ามเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีเล่นเกมออนไลน์ทุกประเภทหลัง 22 นาฬิกา หรือห้ามเล่นเกิน 3 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งข้อบังคับนี้ส่งผลกระทบต่อเยาวชนที่ติดเกมดังกล่าว เยาวชนบางส่วนจึงเข้าไปพูดคุยกันในเว็บบอร์ดของประมูลดอตคอมในลักษณะของการระบายอารมณ์และกล่าวโจมตีกระทรวงไอซีที ซึ่งจุดมุ่งหมายของเว็บไซต์ดังกล่าวคือการซื้อขายสินค้าเท่านั้น แต่ภายหลังเว็บบอร์ดนั้นกลายเป็นที่รวมการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวของเยาวชนที่ขาดการควบคุมดูแล และได้มีการกล่าววลีหนึ่งขึ้นว่า "เกรียน" เพื่อเป็นการดูแคลนเยาวชนเหล่านั้น และคำนี้ได้ถูกนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางในเว็บบอร์ดหรือเกมออนไลน์ต่างๆ
คำว่า เกรียน อาจมีที่มาจากทัศนคติของเด็กชายที่ตัดผมสั้นหัวเกรียน (ตามความหมายเดิมของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานว่า สั้นเกือบติดหนังหัว ผิวหนัง หรือพื้นที่) ซึ่งมักจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวในร้านอินเทอร์เน็ตที่ให้บริการเกมออนไลน์อยู่บ่อยๆ เนื่องจากความไม่พอใจในสถานการณ์บางอย่าง เช่นขณะเล่นเกม หรือความต้องการที่จะก่อกวนผู้อื่น และเมื่อถูกใช้บ่อยครั้งเข้า คำนี้จึงใช้แทนกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมเหล่านั้นไปเสีย โดยไม่คำนึงถึงอายุหรือวุฒิภาวะ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบุคคลเหล่านั้นมักไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าเกรียน ซึ่งดูเหมือนเป็นการแบ่งแยกทางสังคม บางครั้งก็กลับเรียกบุคคลอื่นว่าเป็นเกรียนก็มี และเนื่องด้วยนิสัยส่วนตัวที่คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง เกรียนจึงใช้ศัพท์สแลงแทนตัวอีกคำหนึ่งคือ เทพ เช่น เกรียนเทพ เป็นต้น ซึ่งใช้เปรียบว่าตนเองมีอำนาจหรือมีความยิ่งใหญ่เหนือกว่าผู้อื่น และมองผู้อื่นว่าด้อยกว่าตน เนื่องจากจุดเริ่มต้นที่เว็บไซต์หรือระบบในเกมออนไลน์บางแห่งไม่รองรับอักษรไทย จึงเขียนเป็น Inw (ไอ เอ็น ดับเบิลยู) ในลักษณะลีทซึ่งคล้ายคำว่า เทพ คำนี้สามารถพบเห็นได้บ่อยพอๆ กับคำว่าเกรียนและถูกใช้ควบคู่กันเรื่อยมา
เกรียนอาจจัดได้ว่าเป็น "นูบ" (noob) ประเภทหนึ่ง ซึ่งอาจใช้ในความหมายเชิงดูหมิ่น แผลงมาจากคำว่า "นิวบี" หรือ "นูบี" (newbie: อเมริกันอ่านว่า นูบี อังกฤษอ่านว่า นิวบี) คือ ผู้มาใหม่ คนไม่ประสีประสา หมายถึงบุคคลในอินเทอร์เน็ตที่เป็นสมาชิกใหม่ในเว็บบอร์ดหรือเกมออนไลน์หนึ่งๆ ที่ยังไม่รู้จักธรรมเนียมและมารยาทในสังคมนั้น และทำสิ่งที่ผิดพลาดในเรื่องที่ไม่สมควรจะผิดพลาด เป็นต้น
บุคลิกภาพของเกรียน
บุคคลที่อยู่ในสภาวะเกรียน อาจมีบุคลิกภาพต่อไปนี้มากกว่า 1 ข้อ
มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ถึงขั้นที่เชื่อว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ หรือสร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเอง
มี EQ ต่ำ เนื่องจากจะแสดงออกตามอารมณ์เป็นที่ตั้ง โดยไม่คำนึงถึงเหตุผล มีความอดทนต่อสิ่งเร้าภายนอกน้อยกว่าบุคคลปกติ
ใช้การแสดงออกทางวาจา (หรือข้อความที่พิมพ์) มากกว่าทางความคิด และใช้คำหยาบคายบ่อยครั้ง
ไม่รู้จักมารยาทในสังคม สร้างความรำคาญและไม่คิดถึงความทุกข์ร้อนของคนรอบข้าง
ชอบเรียกร้องความสนใจ สร้างประเด็นปัญหา ทำให้เกิดข้อขัดแย้งและการทะเลาะวิวาท
มักจะรวมกลุ่มระหว่างเกรียนกันเอง เนื่องจากผู้อื่นไม่คบหาสมาคม
ชอบคิดว่าผู้อื่นด้อยกว่าตน มักจะพยายามหาทางดูถูกผู้อื่นทุกด้าน และจะคิดว่าตนนั้นมีทุกอย่างสมบูรณ์เสมอ
พบได้ทั่วไปตามบอร์ดเช่น บอร์ดประมูล และบอร์ดนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของเกรียน

ติดต่อเรา

holidays_heroes@hotmail.com
คุณสามารถอีเมล์ติ,ชม-เสนอแนะ มาได้ที่ที่อยู่อีเมล์นี้นะครับ
แอดเมล์มาคุยmsnกันก็ได้ครับ